Digital Marketing หรือการโปรโมทสินค้าทางตลาดดิจิทัล การทำ SEO (Search Engine Optimization) ย่อมเป็นสิ่งจำเป็นในปัจจุบัน และการที่จะให้ได้ผลดี จะต้องมีเครื่องมือ SEO Tools เพื่อเพิ่มศักยภาพและให้ระบบ SEO ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่เป็นถือว่าเป็นผู้ช่วยการตลาดได้เป็นอย่างดี คือ SEMrush ที่นักการตลาดและเอเจนซี่ทำ SEO เลือกใช้งานกันมากเลยทีเดียว
SEMrush คืออะไร
SEMrush คือ เครื่องมือที่ช่วยให้นักการตลาดสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึก เกี่ยวกับประสิทธิภาพการค้นหาทั่วไปได้แบบ All in one ทั้งฝั่งของตัวเองและคู่แข่ง และทำการตรวจสอบลิงก์ย้อนกลับโดยละเอียด มีฟีเจอร์ให้ใช้มากกว่า 40 รายการ เช่น SEO , Social Media Management , Keyword Research , Marketing Insights และ Content Marketing เป็นต้น และเมื่อเทียบกับเครื่องมืออื่น ๆ ในตลาด SEMrush ช่วยเพิ่มการมองเห็นเว็บไซต์ของเราและเพิ่มการเข้าชมแบบออร์แกนิกมากขึ้น
SEMrush มีฟีเจอร์หลัก ๆ ประกอบไปด้วย
- Keyword Research : เครื่องมือค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง และแนะนำคีย์เวิร์ดที่มีโอกาสทำ SEO อันดับดี ๆ รวบรวมจำนวนการค้นหา คะแนนการค้นหาคำคีย์เวิร์ด และ คำที่คู่แข่งค้นหา
- Backlink Analysis : ฟีเจอร์ SEMrush ที่ช่วยตรวจสอบคุณภาพและปริมาณของลิงก์ ที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของเราและของคู่แข่ง
- Content Marketing : ช่วยหาหัวข้อที่น่าสนใจ พร้อมเนื้อหาที่มีประสิทธิภาพ และช่วยวางแผนจัดการเนื้อหา เพื่อเพิ่มการเข้าถึงเว็บไซต์ของเรา
- Content Optimization : ช่วยปรับปรุงเนื้อหาของเว็บไซต์ เพื่อให้ google สามารถเข้าใจว่าเว็บไซต์ของเราสื่อถึงอะไร
- Competitor Analysis : ช่วยวิเคราะห์และตรวจสอบเว็บไซต์ของคู่แข่ง เพื่อเข้าใจในกลยุทธ์ Digital Marketing และการทำ SEO ของคู่แข่งได้แบบเจาะลึก
- Local SEO : ใช้เป็นกลยุทธ์การตลาดที่มุ่งเน้น SEO ให้ติดคีย์เวิร์ดของท้องถิ่น หรือในพื้นที่นั้น ๆ และจำกัดคู่แข่งในการทำ SEO เฉพาะบริเวณใกล้เคียง
- Marketplace : ตลาดบนโลกออนไลน์ เป็นแหล่งนัดพบระหว่างผู้จำหน่ายและผู้ซื้อสินค้าและบริการ ว่าต้องการขายอะไร หรือต้องการซื้ออะไร
- Reporting And Tracking : ช่วยในการสร้างรายงาน และติดตามผลการทำ SEO รวมถึงการตลาดดิจิทัล
- Advertising Analysis : วิเคราะห์และจัดการเกี่ยวกับโฆษณาออนไลน์ในพื้นที่ต่าง ๆ
- Api Access : เชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันและเครื่องมืออื่น ๆ
- Site Audit : ตรวจสอบเว็บไซต์ของเรา และเตือนในสิ่งที่ต้องปรับปรุง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO
- Social Media Management : วางแผนในการจัดการกับสื่อต่าง ๆ และติดตามผลการแชร์ การติดตามของเราในโซเซียลมีเดีย
คุณสมบัติของ SEMrush นำเสนอเครื่องมือที่ครอบคลุมและวิเคราะห์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มศักยภาพเว็บไซต์ของเราเพื่อจัดอันดับเครื่องมือค้นหาได้ดีขึ้น ซึ่ง SEMrush คุณสมบัติสำคัญและโดดเด่น มีดังนี้
- วิจัยคำหลัก : ค้นพบคีย์เวิร์ดค้นหามากที่สุดที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของเรา โดยมีการระบุปริมาณการค้นหาและแนวโน้มการแข่งขัน
- วิเคราะห์คู่แข่ง : วิเคราะห์เว็บไซต์ของคู่แข่ง พร้อมเปรียบเทียบกลยุทธ์ SEO เพื่อแนวทางข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน
- วิเคราะห์ลิงก์ย้อนกลับ : ตรวจสอบลิงก์ย้อนกลับ หรือ Backlinks เว็บไซต์ของเรา ปรับปรุงการมองเห็นเครื่องมือค้นหา และเพิ่มโอกาสในการสร้างลิงก์
- ติดตามอันดับเว็บไซต์ : ติดตาม SEO Ranking การจัดอันดับเว็บไซต์ของเราในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา ที่มี keyword เป้าหมาย ในเชิงลึก เพื่อนำข้อมูลไปปรับปรุงและพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึัน เพื่อเพิ่มยอดเข้าชมเว็บไซต์ สร้างโอกาสในการเพิ่มยอดขายได้ในอนาคต
- ตรวจสอบเว็บไซต์ : ทำการวิเคราะห์ SEO ของเว็บไซต์แบบครอบคลุม พร้อมกับระบุปัญหาที่อาจส่งผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ของเรา
ประโยชน์ของการใช้ SEMrush
การใช้ประโยชน์ SEMrush เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ SEO นอกจากจะช่วยเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ของเราแล้ว SEMrush มีประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ต่อไปนี้
- วิจัย keyword หลัก ได้อย่างครอบคลุม
- ระบุ keyword ที่มีการค้นหามากที่สุด และมีประสิทธิภาพสูงสุด
- ตรวจสอบลิงก์ย้อนกลับ
- ตรวจสอบไซต์ เพื่อเช็คสุขภาพและประสิทธิภาพโดยรวมของเว็บไซต์
- วิเคราะห์คู่แข่งได้อย่างแม่นยำ
- ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกลยุทธ์การค้นหาแบบออร์แกนิกและแบบชำระเงินของคู่แข่ง
- เพิ่มประสิทธิภาพของ SEO
- ปรับปรุงการมองเห็นเว็บไซต์ของเราในผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา
รู้จักกับ SEMrush คืออะไรและใช้ประโยชน์ในด้านการทำ SEO ได้อย่างไรกันไปแล้ว ก็ลองหามาใช้กันดู เพราะเป็นอีกตัวช่วยที่ใช้งานไม่ยาก แถมยังโดดเด่นเรื่องการเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว